วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

Jean Jacques Rousseau



ฌอง ฌาค รุสโซ [Jean Jacques Rousseau]
นักเขียน นักทฤษฎีการเมือง นักประพันธ์เพลงที่ฝึกฝนด้วย
ตัวเอง แห่งยุคแสงสว่างและเป็นนักปรัชญาสังคมชาวสวิส เชื้อสายฝรั่งเศส ผู้มีอิทธิพลต่อการ
ปฏิวัติฝรั่งเศส [French Revolution] ใน คศ.1789 รุสโซ เกิดที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่
28 มิถุนายน 2255 มารดาของเขาเสียชีวิตหลังจากคลอดเขาได้เพียง 9 วัน บิดาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาที่ไม่
ประสบความสำเร็จ ตอนรุสโซ อายุ 6 ขวบ พ่อของเขาได้ติดคุก เขาจึงต้องไปอาศัยอยู่กับลุง รุสโซหัดอ่าน
หนังสือมาตั้งแต่เด็กและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตอนรุสโซ อายุ 16 ปี ได้ออกจากเจนีวา เดินทางท่องเที่ยวและได้
หางานทำไปเรื่อยๆ จนได้เป็นผู้ช่วยทูต ในปี พศ.2293
เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ Discourse on the Arts and Sciences ซึ่งประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้แก่
เขาเป็นอย่างมาก อีก 11 ปี ต่อมาก็ตีพิมพ์นิยายเรื่องแรกชื่อ Julie,ou la nouvelle Holoise [The New Heloise]
จากนั้นก็ได้มีผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอทั้งหนังสือวิชาการและนิยาย ผลงานที่มีชื่อเสียงได้แก่
The Social Contract, or Principles of Political of political Right และ The Confessions of Jean-Jacques
Roussean รุสโซ เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนดี แต่สังคมทำให้มนุษย์เป็นคนเลว แปดเปื้อน และ
มนุษย์มีเสรีภาพตามธรรมชาติโดยไม่จำกัด แต่เมื่อมนุษย์มารวมกันเป็นสังคมจึงต้องมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพ
บางส่วนโดยการทำ “ สัญญาประชาคม “ [The social Contract] เพื่อไม่ให้เกิดการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของ
กันและกัน รุสโซ กล่าวว่า “ มนุษย์เกิดมาพร้อมเสรีภาพ แต่ทุกหนทุกแห่ง เขาต้องตกอยู่ในเครื่อง
พันธนาการ “
ความคิดของรุสโซ มีอิทธิพลต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส ในปี 2332 อย่างมาก และได้พัฒนาเป็นทฤษฎีสังคม
นิยม [Socialist theory] และมีส่วนสำคัญของการพัฒนาการทางแนวคิด โรแมนติก [Romanticism]
แนวคิดโดยย่อ

-ปรัชญาของรุสโซ
รุสโซ สอนให้คนกลับไปหาธรรมชาติ [ Back to Nature ] เป็นการยกย่องคุณค่าของคนว่า
“ ธรรมชาติของคนดีอยู่แล้ว แต่สังคมทำให้เป็นคนเลว “ เขาบอกว่า “ เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่คำตอบ
ของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของเราเอง ให้มากกว่าเหตุผล “
-ทฤษฎี คนเถื่อนใจธรรม
รุสโซเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นคนดีโดยธรรมชาติ หรือเป็น คนเถื่อนใจธรรม [Nobel Savage] เมื่ออยู่ใน
สภาวะธรรมชาติ [เป็นสภาวะเดียวกับสัตว์อื่นๆและเป็นสภาพที่มนุษย์อยู่มาก่อนที่จะมีการสร้างอารยธรรม
และสังคม] แต่กลับถูกทำให้แปดเปื้อนโดยสังคม เขามองสังคมว่าเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น และเชื่อว่า
การพัฒนาของสังคม โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการพึ่งพากันในสังคมนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายต่อความเป็นอยู่
ของมนุษย์
-ความเรียงชื่อ การบรรยายเกี่ยวกับศิลปะและวิทยาศาสตร์ พศ.2293
ได้รับรางวัลเมือง ได้อธิบายว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และศิลปะศาสตร์นั้น ไม่เป็นประโยชน์กับ
มนุษย์ เขาได้เสนอว่า พัฒนาการของความรู้ทำให้รัฐบาลมีอำนาจมากขึ้น และทำลายเสรีภาพของปัจเจกชน
เขาสรุปว่า พัฒนาการเชิงวัตถุนั้น จะทำลายโอกาสของความเป็นเพื่อนที่จริงใจ โดยจะทำให้เกิดความอิจฉา
ความกลัว และความหวาดระแวง สงสัย
-การบรรยายว่าด้วยความไม่เสมอภาค
ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาและการทำลายของมนุษย์ ตั้งแต่ในสมัยโบราณ จนถึงสมัยใหม่ เขาเสนอว่า
มนุษย์ในยุคแรกสุดนั้น เป็นมนุษย์ครึ่งลิงและอยู่แยกกัน มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เนื่องจากมีความต้องการ
อย่างอิสระ [Free will] และเป็นสิ่งที่แสวงหาความสมบุรณ์แบบ เขายังได้กล่าวว่ามนุษย์ยุคบุกเบิกนี้มีความ
ต้องการพื้นฐาน ที่จะดูแลรักษาตนเอง และมีความรูสึกห่วงหาอาทร หรือความสงสาร เมื่อมนุษย์ถูกบังคับ
ให้ต้องมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร จึงได้เกิดการปรับเปลี่ยนทางด้าน
จิตวิทยา และได้เริ่มให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่นๆ ว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีชีวิตที่ดีของตนเอง
รุสโซ ได้เรียกความรู้สึกใหม่นี้ว่า เป็น “ จุดเริ่มต้นของการผลิบานของมนุษย์ “

สาระของแนวคิด

ที่ รุสโซ กล่าวว่า “ มนุษย์เกิดมาเสรีแต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ในพันธนาการ " เป็นการตกผลึกทางความคิดของ
รุสโซ ที่ได้ก่อตัวขึ้นก่อนหน้านี้ และงานเขียนชิ้นสำคัญของ รุสโซ ก่อน Social Contract คือ
Discourse on the Origin and the Foundations of Inequality Among Men หรือเรียกว่า The Second
Discourse ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษา The Second Discourse ก่อน
The Second Discourse เป็นบทความที่ รุสโซ เขียนเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ โดยชี้ให้เห็น
ถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ คือ มนุษย์ดำเนินชีวิตด้วยการเป็นผู้กระทำที่เสรี แต่สัตว์เลือกหรือ
ปฏิเสธจากสัญชาตญาณ แต่มนุษย์กระทำด้วยเสรีภาพ เช่น การที่ธรรมชาติบังคับควบคุมสัตว์ทุกชนิด และ
สัตว์ทั้งหลายต้องเชื่อฟัง มนุษย์เองรู้สึกถึงแรงกระตุ้นดังกล่าวเช่นกัน แต่มนุษย์ตระหนักดีว่า ตัวเขาเองนั้นมี
เสรีภาพที่จะนิ่งเฉยหรือต่อต้าน[ธรรมชาติ] และเหนือสิ่งอื่นใด ในจิตสำนึกแห่งเสรีภาพนี้ จิตวิญญาณของ
เขาได้แสดงออกมาซึ่งเป็นการกระทำของจิตวิญญาณอันบริสุทธ์ นอกจากนี้ มนุษย์ยังมีความสามารถในการ
ทำตัวเองให้สมบูรณ์ [The faculty of self-perfection] อันเป้นคุณสมบัติของความสามารถที่พัฒนาคุณสมบัติ
อื่นๆทั้งหมดอย่างเป็นผลสำเร็จด้วยเงื่อนไขที่เอื้ออำนวย และได้นำมาซึ่งการเบ่งบานของปัญญาความรู้ และ
ข้อผิดพลาด ความชั่ว และคุณธรรมความดีของเขา คุณสมบัตินี้เองที่ในระยะยาวจะทำให้เขาเป็นทรราชย์
คนป่า [Savage man] โดยธรรมชาติ ย่อมเริ่มต้นจากการกระทำแบบสัตว์แท้ๆซึ่งกระทำตาม
สัญชาตญาณแท้ๆ หรือชดเชยสัญชาตญาณที่เขาไม่มีด้วยคุณสมบัติที่ทดแทนกันได้ตั้งแต่แรก และจากนั้นก็
ยกระดับให้อยู่เหนือธรรมชาติ การรับรู้และความรู้สึก คือสภาวะแรกของเขาซึ่งมีร่วมกับสัตว์ทั้งมวล
เจตจำนงมุ่งมั่นหรือไม่ ปรารถนาหรือกลัว ซึ่งก็คือการกระทำอย่างแรก และเหนืออื่นใดของจิตของเขา
จนกระทั่งเงื่อนไขใหม่ได้ก่อให้เกิดพัฒนาการใหม่ในตัวของมันเอง
การตีความสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ รุสโซ จินตนาการสภาวะธรรมชาติ หรือสภาวะแรกเริ่มของ
มนุษย์ว่า มนุษย์อยู่กันอย่างอิสระจากกันและกัน ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆระหว่างกัน มิได้ต้องพึ่งพากันและกัน
ไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นใดๆที่มนุษย์จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อการอยู่รอด มนุษย์สามารถดำเนินชีวิต
ของตัวเองไปได้ สาเหตุที่มนุษย์สามารถใช้ชีวิตได้ดดยลำพังก็เพราะมนุษย์สามารถตอบสนองความต้องการ
ของตัวเองได้ และสาเหตุที่มนุษย์สามารถใช้ชีวิตโดยลำพังก็เพราะความต้องการของมนุษย์ในสภาวะ
แรกเริ่มนั้น มีไม่มากนักและไม่สลับซับซ้อน เพราะรุสโซเชื่อว่า ความต้องการของมนุษย์ในสภาวะแรกเริ่ม
จะจำกัดอยู่เพียงความต้องการทางชีวภาพเท่านั้น นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่า มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยดูจาก
ลักษณะของฟันและอวัยวะร่างกายของมนุษย์ที่ไม่เอื้อในการล่าสัตว์และไม่กินเนื้อสัตว์ ด้วยเหตุที่สภาพ
ธรรมชาติของโลกในระยะแรกเริ่ม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร ทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่
รอดได้โดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน เพราะรุสโซ เชื่อว่า เมื่อมนุษย์แต่ละคนสามารถตอบสนองความต้องการ
ของตัวเองอย่างพอเพียงแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องไปปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม รุสโซ เชื่อว่า ในสภาวะแรกเริ่ม หรือสภาวะธรรมชาติ ความต้องการทางเพศของมนุษย์ เกิด
จากแรงขับทางชีวภาพ และมีระยะเวลาที่แน่นอน จำกัด ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวเมื่อมนุษย์ต่างเพศมาพบ
เจอกันต่างก็จำต้องสนองตอบความต้องการทางเพศของกันและกัน เพียงพอแล้ว ต่างก็แยกย้ายจากกันไป
ดำเนินชีวิตอย่างอิสระตามปกติเหมือนเดิมในสภาวะธรรมชาติต่อไป มิต้องอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเมื่อเป็น
เช่นนี้ มนุษย์ไม่จำเป็นต้องสะสมอาหาร หรือของบริโภคใดๆ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของ
คู่นอนที่ได้มีเพศสัมพันธ์กัน เขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องหวงแหน ริษยา หรือมุ่งมั่นที่จะได้หรือรักษาคู่นอน
ของเขา หรือแย่งชิงคู่นอนของคนอื่นมาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ด้วยเหตุนี้ ชีวิตมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติจึง
เรียบง่าย ไม่มีความขัดแย้งต่อกัน แต่กระนั้น มนุษย์ก็ยังดำเนินชีวิตอันดิบเถื่อน ไร้อารยธรรมไม่แตกต่าง
จากสัตว์ รุสโซ ขนานนามว่า เป็น “ คนป่าผู้ทรงเกียรติ “ [noble savage] คือ เขาเป็นคนป่าเถื่อน ก็เนื่องจาก
เขาดำเนินชีวิตเยี่ยงสัตว์ นอนกับดิน กินกับทราย เขาเป็นผู้ทรงเกียรติ ก็เนื่องด้วยเขามีจิตใจดีบริสุทธ์ มิได้มี
กิเลสตัณหา ไม่มีความต้องการอันไม่เคยพอ ไม่มีความอิจฉา ริษยา มุ่งร้ายต่อกัน ดังนั้น มนุษย์ในสภาวะ
ธรรมชาติจึงดำเนินชีวิตเยี่ยง คนป่าผู้ทรงเกียรติ และเป็น เสรีชน ที่มีอิสรภาพและความเสมอภาคอย่างเต็มที่
ในเงื่อนไขที่เขาแต่ละคนมิได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกันและกัน
อิสรเสรีของมนุษย์ผู้หญิงในสภาวะธรรมชาติ
รุสโซ อธิบายไว้ว่า ธรรมชาติได้สร้างมนุษย์เพศหญิงให้สามารถใช้ชีวิตอยู่รอดได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องไป
อาศัยมนุษย์ผู้ชาย อีกทั้งยังตั้งครรภ์ และคลอดบุตรได้เองโดยไม่ต้องพึ่งผู้ชายอีกด้วย ดังนั้น ผู้หญิงใน
สภาวะธรรมชาติมีความอดทนและมีความสามารถดูแลตัวเองได้โดยลำพัง หลังจากนั้นนางจะเลี้ยงดูบุตร
ไปอีกระยะหนึ่ง และจะดูแลเด็กอีกไม่นานเพราะเด็กสามารถดูแลตัวเองได้เร็วกว่าเด็กที่เติบโตมาจากสังคม
ที่เจริญแล้ว ในที่สุดเด็กก็จะจากแม่ไปเองมีชีวิตอิสระตามลำพังด้วยตัวเอง และแม้ว่าถ้ามีโอกาสได้พบเจอ
ลูกผู้ให้กำเนิด นางก็ไม่สามารถจำกันแลกันได้ เป็นเหมือนคนแปลกหน้า
อารมณ์ความรู้สึกกับการกำเนิดชีวิตครอบครัว
รุสโซ เชื่อว่า การเกิดขึ้นของครอบครัวมนุษย์นั้น เป็นเรื่องของความบังเอิญ และอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า
เหตุผลสำคัญอื่นใดแฝงไว้ โดยบรรยายไว้ว่า ในช่วงฤดูสืบพันธ์ของมนุษย์ อาจมีบางครั้งบางคราวที่
มนุษย์เพศชายและหญิงจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันนานกว่าปกติ ทำให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกที่หวานชื่นที่สุด
ต่อกันและกัน ทำให้ทั้งสองมีความรู้สึกว่า การอยู่ร่วมกันนั้น ให้ความอบอุ่นและความรู้สึกที่ดีที่ผูกพันกว่า
การที่แยกจากกันไปเฉยๆ ดังนั้น เขาทั้งสองจึงเลือกที่จะอยู่ด้วยกันต่อไป จะเห็นได้ว่า ครอบครัวของมนุษย์
ในความคิดของ รุสโซ นั้นเกิดจากความบังเอิญและเสรีภาพในการที่จะเลือกทำเช่นนั้น อันเป็นการกระทำที่
เสรี ซึ่งได้เบี่ยงเบนไปจากธรรมชาติของมนุษย์ตามที่ได้เกิดมา คือ เขาทั้งสองนั้นมิได้มีอิสรเสรีสมบูรณ์
เหมือนดังเดิม กลับมีความรู้สึกผูกพัน ต่อกันและกัน ซึ่งถือว่า เป็นบ่อเกิดแห่งพันธนาการของมนุษย์
ซึ่งความผูกพันดังกล่าว ทำให้มนุษย์อ่อนแอลง เพราะมนุษย์มีห่วงใยกังวล ไม่สามารถตัดสินใจดำเนินชีวิต
ได้อย่างอิสระโดยลำพังเหมือนเช่นเดิม เมื่ออิสรเสรีภาพของมนุษย์สุญหายลดทอนลง แต่เขาได้มาซึ่ง
ความสุข ความอบอุ่น และความผูกพันทางอารมณ์และจิตใจ จากเริ่มต้นที่เป็น “มนุษย์เกิดมาเสรี”
แต่บัดนี้ เขาเริ่มเข้าสู่ “พันธนาการ” จากการตัดสินใจโดยเสรีที่เลือกมาอยู่ร่วมกัน จึงได้เกิดการแบ่งงานกัน
ทำ อันเป็นผลมาจากพันธนาการของกันและกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์พัฒนาความเป็นอยู่ของตน
มีเวลาคิดสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ นับว่าเป็นก้าวแรกของการพัฒนาไปสู่การมีอารยธรรมของมนุษยชาติ จาก
สภาพคนป่าที่ดำเนินชีวิตเยี่ยงสัตว์ พัฒนาเป้นการอยู่กินเป็นครอบครัว แต่กระนั้น เค้าลางของการสูญเสีย
การเป็น “ผู้ทรงเกียรติ” ก็เริ่มต้นขึ้น ซึ่งเกิดจากความหวงแหนคู่ของตน และอารมณ์ความรู้สึกทางจิตใจอื่นๆ
ที่ตามมา เขาไม่สามารถรู้สึกผูกพันคู่นอนเพียงเท่าที่เขาผูกพันกับผลไม้ที่เขากินได้อีกต่อไปได้แล้ว และ
อารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวนี้ ที่ รุสโซ เรียกว่า “ Sweetest Sentiment”
กำเนิดสังคม

รุสโซ อธิบายการกำเนิดสังคมว่า มีสาเหตุมาจากการเกิดและการขยายการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและ
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวก็บังเกิดขึ้น รุสโซ ชี้ถึงปัจจัยสำคัญคือ พัฒนาการทางเศรษฐกิจ และ
ความรักแบบโรแมนติก เขาเน้นถึงบทบาทสำคัญของเศรษฐกิจที่มีต่อการก่อตัวของสังคมเมือง [civil –
Society] ดังที่กล่าวไว้ว่า “คนแรกที่กั้นรั้วแผ่นดินคือผู้เริ่มสังคมเมืองที่แท้จริง” การคิดค้นการเกษตรกรรม
ที่นำไปสู่การสร้าง กฎ กติกา เพื่อความยุติธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก และในที่สุดแล้ว ด้วยการแนะนำของผู้มั่งคั่ง
[the rich] ก็จะนำไปสู่การสถาปนาการเมืองการปกครองขึ้นมา หมายความว่า การเกิดการปกครองขึ้นมานั้น
จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจาก เงื่อนไขของการเกิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัวในที่ดิน มาก่อนหน้า
และแท้ที่จริงแล้ว พัฒนาการการเกษตรที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลพวงมาจากการเกิดครอบครัวก่อนหน้านี้ แต่
กระนั้น ก็เสนอด้วยว่า “เศรษฐกิจการเกษตรในตัวของมันเอง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองพัฒนาการของ
ความต้องการทางเพศ [erotic developments] เรื่อง เพศ [sexuality] คือสะพานนำไปสู่การเมือง โดยมีนัยของ
การเปลี่ยนแปลงเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์เป็นปัจจัยเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งในการกำเนิดสังคม
การเมือง รุสโซ อธิบาย ความขัดแย้ง ความไร้ระเบียบ [disorder] ที่อุบัติขึ้นเมื่อสังคมได้ถือกำเนิดไว้ดังนี้คือ
ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นเมื่อสภาวะของมนุษย์ในสังคมไม่เอื้ออำนวย หรือไม่เหมาะสมกับพวกเขา ความขัด
แย้ง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมนุษย์มองมนุษย์ด้วยกันว่า เป็นศัตรูที่แข่งขันกับพวกเขา เพื่อความโดดเด่น
หรือเพื่อความเหนือกว่า หรือเพื่อสิ่งที่พึงปรารถนา และสุดท้าย ความขัดแย้งยังคงดำรงอยู่ภายในปัจเจก-
บุคคล เมื่อจิตใจของเขาตกอยู่ภายใต้พันธนาการของกิเลส ตัณหา อันไม่มีขีดจำกัด อารยธรรมหรือความ
เจริญก้าวหน้าของศิลปะวิทยาการนี้ ทำให้ศีลธรรมการดำเนินชีวิตของมนุษย์เสื่อมทรามลง เสียมากกว่าที่
จะทำให้ดีขึ้น เมื่อมนุษย์ตกเป็นทาสของศิลปะวิทยาการ เสรีภาพที่เคยมีและเป็นแก่นแท้ ของความเป็น
มนุษย์ก็ได้สูญหายไป ด้วยเหตุนี้เอง ที่ รุสโซ ได้กล่าวขึ้นต้นใน The Social Contract ไว้ว่า
“ มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ในพันธนาการ “ เพราะในสภาวะสังคมมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิด
ระเบียบเงื่อนไขที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่โดยไม่เหยียบหัว แย่งชิง หลอกลวง ทรยศ และ
ทำลายซึ่งกันและกัน การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นสังคม
เขาเสนอให้มีการสร้าง หรือการจัดระเบียบสังคมใหม่ขึ้นมา นั่นคือ เราจะทำอย่างไรที่จะหารูปแบบของการ
อยู่ร่วมกันที่สามารถปกป้องบุคคล และสิ่งที่พึงปรารถนาของสมาชิกแต่ละคนในสังคม โดยการร่วมพลัง
ของทุกคน และเป็นรูปแบบการอยู่ร่วมกันที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคน แม้ว่าจะรวมตัวเข้ากันกับคนอื่น แต่ก็
มิได้ต้องเชื่อฟังใคร นอกจากตัวเขาเอง และยังคงมีอิสรเสรีเหมือนแต่ก่อน คำตอบนั้นคือ
“ สัญญาประชาคม “ [Social Contract ] คือ คำตอบสำหรับการหลุดจากสภาวะอันไม่อำนวยต่อการดำรง
ชีวิตความเป็นมนุษย์ มาทำสัญญาร่วมกัน หมายถึง การยอมเสียเสรีภาพตามธรรมชาติที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ของเขาเพื่อแลกกับเสรีภาพทางสังคมการเมือง รุสโซ กล่าวว่า แก่นของสัญญาประชาคม คือ การที่พวกเรา
แต่ละคนยอมสละตัวเอง และอำนาจหน้าที่ ที่เขามีอยู่ทั้งหมดให้กับส่วนรวม ภายใต้การนำสูงสุดของ
“ เจตจำนงร่วม “ และในฐานะองค์รวม เราได้รวมสมาชิกทุกคนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่ง
ของทั้งหมดที่แบ่งแยกไม่ได้ อันประกอบด้วยจำนวนสมาชิกที่มีจำนวนเท่ากับผู้ออกเสียงในที่ประชุม
ซึ่งทำให้ องค์รวม ดังกล่าวมีชีวิต มีเจตจำนง มีตัวตน และมีเอกภาพ ของตัวเองขึ้นมา องค์รวมทางการเมือง
หรือบุคคลสาธารณะที่ก่อตัวขึ้นนี้ คือสังคมเมือง หรือสาธารณรัฐ และในสถานะที่เป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งเรียก
ว่า รัฐ แต่ถ้าอยู่ในสถานะ ผู้ถูกกระทำ เรียกว่า องค์อธิปัตย์ [the sovereign] และเมื่อมีการเปรียบเทียบระหว่าง
องค์อธิปัตย์ด้วยกัน เราเรียกว่า อำนาจ [power] และสำหรับผู้ที่เข้าร่วมอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐ เรียกว่า
“ ประชาชน “ และเรียกว่า “ พลเมือง “ ตราบเท่าที่พวกเขามีส่วนร่วมในอำนาจอธิปไตย และเรียกพวกเขาว่า
“ ราษฎร “ ตราบเท่าที่พวกเขาอยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐ
รุสโซ กับโลกปัจจุบัน
ในเรื่องมิติแห่งเวลา รุสโซ ไม่เชื่อว่า สังคมจะสามารถย้อนเวลากลับไปสู่สภาวะอันเปล่าเปลือยเหมือนเช่น
ตอนแรกเริ่มได้อีก และที่สำคัญ รุสโซ เชื่อในความสามารถในการพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์แบบของมนุษย์
ดังนั้น เส้นทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์ย่อมต้องเดินหน้าต่อไปมากกว่าที่จะถอยหลัง มนุษย์และเจตจำนง
เสรีในตัวเขาย่อมจะช่วยให้เขาก้าวเดินต่อไป และ รุสโซ เชื่อว่า มนุษย์สามารถคิดค้นและออกแบบสร้าง
-สรรค์ “ เจตจำนงทั่วไป “ อันเป็นสิ่งประดิษฐ์ในการสร้างระเบียบใหม่ให้กับสังคมที่ไร้ระเบียบ ที่มิได้เป็น
ผลผลิตของธรรมชาติที่มีระเบียบของมันเอง ที่ครั้งหนึ่งมนุษย์อาจเคยอยู่กับมันมานานแล้ว และไม่มีวันที่จะ
หวนกลับคืนไปได้ จะทำได้เพียงแค่จินตนาการ
แนวคิดที่สำคัญของรุสโซ
1.มนุษย์เกิดมาพร้อมกับเสรีภาพ ถ้าไม่มีสรีภาพก็ไม่ใช่มนุษย์
2.ความชอบธรรมของผู้มีอำนาจ อำนาจย่อมไม่ก่อให้เกิดธรรม เว้นแต่ผู้ใช้อำนาจจะใช้อำนาจโดยความชอบ
ธรรมเท่านั้น ต้องใช้อำนาจด้วยความยุติธรรมถึงจะมีความชอบธรรม
3.การเป็นทาส ผู้ใดยอมรับความเป็นทาส ผู้นั้นเห็นว่าทาสไม่ใช่มนุษย์ เพราะทาสไม่มีเสรีภาพ แนวคิดนี้ของ
รุสโซ แตกต่างกับ โทมัส ฮ๊อบส์ กล่าวว่า สันติภาพ หรือความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็น แต่รุสโซ กล่าวว่า
สันติภาพและความปลอดภัยอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอจะต้องมีเสรีภาพด้วย เหมือนในคุก มีสันติภาพแต่ไม่มี
เสรึภาพ จึงไม่มีใครอยากอยู่ในคุก
4.สัญญาประชาคม รุสโซ เสนอให้ประชาชนทำสัญญาประชาคมร่วมกัน เรียกว่า สัญญาประชาคม [Social
Contract] เพื่อสร้างประชาคมการเมืองขึ้น
5.ผู้ทรงอำนาจอธิปไตยของประชาชนที่ประชุมร่วมกันในฐานะ ผู้ทรงอำนาจอธิปไตยเพื่อทำหน้าที่บัญญัติ
กฎหมาย
6.ประชาชนทำหน้าที่เป็น พลเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
7.เจตจำนงทั่วไป ในฐานะผู้ทรงอำนาจอธิปไตย ประชาชนต้องบัญญัติกฎหมายให้ตอบสนอง เจตจำนงทั่ว
ไปของประชาชน
8.การเลือกผู้แทนราษฎร รุสโซ เห็นว่า การเลือกผู้แทนราษฎร คือจุดเริ่มต้นของอวสานแห่งเสรีภาพของเสรี
ชน รุสโซ เห็นว่า ประชาชนไม่ควรมอบอำนาจอธิปไตยให้แก่ใครทั้งสิ้น แนวคิดรุสโซ เป็นแนวคิด
การปกครองแบบตรง ที่ประชาชนปกครองประเทศโดยตรง แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก
มีประชากรเป็นจำนวนมาก และในลกปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยโดย ตัวแทน ทั้งหมด

ข้อความที่ว่า “ มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ในพันธนาการ “ นั่นคือการตกผลึกทางความคิด
รุสโซ ก่อนหน้างานเขียนชิ้นสำคัญ ก่อน “ Social Contract “ ก็คือ “ The Second Discourse “
จากเริ่มต้นที่ มนุษย์เกิดมาเสรี มีอิสรเสรีภาพ ภายใต้สภาวะธรรมชาติ ชีวิตมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติจึง
เรียบง่าย ไม่มีความขัดแย้ง แต่เมื่อมนุษย์ตัดสินใจโดยเสรี ไม่มีใครมาบังคับ และเลือกที่จะอยู่ร่วมกันเป็นคู่
หลายๆคู่ก็เป็นสังคม จนกลายเป็น รัฐ มีการแบ่งงานกันทำ อันเป็นผลมาจากการที่มี พันธนาการต่อกันและ
กัน ซึ่งเป้นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์ พัฒนาความเป็นอยู่ของตัวเอง มีเวลาสร้างสรรค์คสิ่งต่างๆ นั่นคือ
ก้าวแรกของการพัฒนาไปสู่การมีอารยธรรมของมนุษยชาติ นั่นเอง

แนวคิดที่นำมาประยุกต์ใช้หรือนำมาใช้ในการพัฒนาการเมืองการปกครองของไทย
ความจริงที่ว่า รุสโซ คือต้นแบบประชาธิปไตยในโลกปัจจุบัน ตามที่นักวิชาการ นักการเมืองบางท่าน ได้
กล่าวอ้างขึ้นมาเพื่อรองรับความชอบธรรมทางการเมืองของตนเอง การที่รัฐบาลซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ
ประเทศทำหน้าที่ในการบริหารราชการของประเทศนั้นย่อมมีอำนาจในการปกครองประเทศโดยสมบูรณ์
แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลควรจะปล่อยให้ภาคประชาชนได้มีสิทธิเสรีภาพ ในการที่จะแสดงออกทางความ
คิดเห็นอย่างเสรี ที่จะเห็นด้วย สนับสนุน หรือต่อต้าน คัดค้าน การทำหน้าที่บริหารของรัฐบาล แต่ภาค
ประชาชน ต้องกระทำภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งได้มีบทบัญญัติไว้
หน้าที่ของรัฐบาลไม่ใช่มีแค่ บริหารบ้านเมือง ใช้งบประมาณแผ่นดิน และบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น
แต่รัฐบาลจะต้องมีหน้าที่ส่งเสริม สนันสนุน เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นในทางการเมือง
ของภาคประชาชนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง พร้อมไปกับพรรคการเมือง ซึ่งมีหน้าที่ให้ความรู้ความเข้าใจ
ทางด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว
แต่รัฐบาลจะต้องคอยดูแล คอยกำกับ คอยปกกัน ภาคประชาชนไม่ให้ใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขตที่
กำหนดไว้ภายใต้กฎหมายโดยไม่ให้ไปกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น หรือความมั่นคงของประเทศ
ตัวอย่าง เช่น
- กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้ายึดทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 นับว่าเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง การใช้สิทธิเสรีภาพของภาคประชาชนที่เกินขอบเขต
ถ้ารัฐบาลไม่ยอมตัดสินใจทำอะไรหรือมีมาตรการอะไรที่จะดำเนินการกับภาคประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพ
ที่เกินขอบเขตที่กำหนดไว้ภายใต้กฎหมาย เช่นนี้ ถือว่ารัฐบาลส่งเสริมให้มีการกระทำผิดกฎหมาย สังคม
ประเทศชาติจะวุ่นวาย กระทบกระเทือนไปถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาค ทั้งๆที่เป็นเหตุการณ์
ภายในประเทศไทย แต่การปิดสนามบินแห่งชาติ 2 แห่ง ได้ส่งผลกระทบถึงประเทศอื่นในภุมิภาคอาเซี่ยน
ในที่สุดรัฐบาลก็จะเสื่อมอำนาจ และหมดอำนาจไปในที่สุดเพราะบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ ไม่มีคน
คนเชื่อฟัง ทำตามคำสั่งของรัฐบาล ทำให้เกิด “ อนาธิปไตย “ ขึ้นได้
ฉะนั้นการบริหารปกครองบ้านเมืองของรัฐบาล จำเป็นต้องมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนบางส่วน
เพื่อความสงบสุขของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ แต่ต้องทำอย่างเหมาะสมและเท่าที่จำเป็นจริงๆ
หากรัฐบาลนิ่งเฉย ปล่อยให้กลุ่มคน มีเสรีภาพ มากจนเกินขอบเขตไป จนไม่สามารถควบคุมได้ อาจ
เป็นสาเหตุลุกลามใหญ่โต เกินแก้ไขได้ เกิดความวุ่นวายทุกหนแห่ง จนกลายเป็น เกิดการจลาจล และถึงขั้น
กลายเป็น “ สงครามกลางเมือง “ อย่างแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น