โลกิ(Loki) เป็นเทพเจ้ารูปงามและได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งการหลอกลวงและการโกหก ความจริงเขาเป็นจอมมารแห่งไฟ ที่กำเนิดมาจากยักษ์ไฟฟาร์บอติ แต่ด้วยความมีเสน่ห์และใบหน้าที่งดงามราวกับเทพบุตรที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของเทพอื่นๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงถูกโอดิน(มหาเทพ)ชื่นชอบและเลี้ยงดูเขาให้อยู่บนดินแดนเทพ และได้ยกฐานะของเขาเป็นเทพอย่างง่ายดาย นอกจากจะมีเสน่ห์แล้วเขายังมีวิธีผูกมัดใจสาวอีกตะหาก แต่ยิ่งเขามีความฉลาดและความขี้เล่นมากเท่าไร เขาก็ยิ่งดูชั่วร้ายมากขึ้นเท่านั้น การมีอยู่ของเขายิ่งนานวันยิ่งทำให้เทพองค์อื่นถูกรบกวน และไม่มีใครชอบเขา เขาเป็นตัวแทนแห่งความโกลาหลและความวุ่นวาย
รูปลักษณ์ : ลักษณะและใบหน้าของโลกิถูกวาดออกมาหลายรูปแบบ แต่ที่เห็นๆก็เป็น ผมและตามีสีแดงสว่าง(เขาบอกว่าโลกิเป็นหนุ่มรูปงาม)
ลูก: เฟนรีร์(Fenrir) จอร์มุนกานด์(Jormungand) เฮล(Hel) วาลี(Vali) นาร์วี(Narvi)
ลูกที่เกิดจากยักษ์อังกรูโบดามี 3 ตน(เป็นลูกๆที่สำคัญที่สุดที่มีในตำนาน) ได้แก่
คนโต หมาป่ายักษ์ เฟนรีร์ คนกลาง งูยักษ์ผู้เลื้อยพันโลก จอร์มุนกานด์ หรืออีกชื่อ ในนามงูพิษผู้โอบล้อมโลก มิดการ์ดโอลุม(Midgard Serpent) คนสุดท้าย เทวีแห่งดินแดนยมโลก เฮล ลูกที่เกิดจากนางซีไกน์ ได้แก่ วาลี นาร์วี
และอื่นๆอีกหลายคน(ตน)
วันแร็กนาร็อก : เขาให้ความช่วยเหลือยักษ์(อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายเทพ) และจะสู้กับเฮมดัลล์คู่ปรับตลอดกาล สุดท้ายก็ถูกเฮมดัลล์สังหารจนสิ้นชีวิต
เทพ : เอซีร์
พ่อ: ฟาร์บอติ (Farbauti) ยักษ์ผู้ให้กำเนิดไฟ
แม่: ลอเฟ (Laufey)
พี่น้อง : โอดิน(โอดินรับโลกิเป็นน้องชายแท้ๆ สัญญาเลือดหรือเรียกว่าพี่น้องร่วมสาบานว่าจะเป็นพี่น้อง)
ภรรยา : อังโบดา(Angrboda) กับ นางซีไกน์(Sigyn)
โลกิสามารถใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ของเทพในทางผิดๆ ได้มากขึ้น เขาสามารถหยิบยืมของวิเศษต่างๆ อย่างเช่นเชือกขนนกของเฟรยา (Freya) ซึ่งเป็นเชือกวิเศษที่ทำให้เธอเหาะเหินเดินอากาศไปยังที่ๆ เธอต้องการได้ทุกที่ มันเป็นสิ่งที่โลกิชอบมากแต่มันก็นำความลำเค็ญมาสู่เขาและจ้าของเชือกมากนัก
ความซุกซนของโลกิที่มักจะสรรหาวิธีเล่นแกล้งชาวบ้านอย่างแผลงๆ ก็มักจะนำเรื่องมาให้ตัวเขาเสมอ แต่โลกิก็สามารถใช้ความสามารถในการพูดจาของเขาเอาตัวรอดมาได้ทุกทีเหมือนกัน
โลกิทำตามสัญญาด้วยการออกตามล่าคนแคระช่างทองสองตนให้ทำผมทองมาคืนเทพีพร้อมกับของวิเศษอีกสองอย่างมาให้โอดินเทพผู้เป็นใหญ่เป็นการขอโทษที่ชอบเล่นแกล้งชาวบ้าน สองสิ่งนั้นคือหอกวิเศษที่ไม่มีวันพลาดเป้า กับเรือที่เดินทางมุ่งไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็วไม่มีการเบนออกนอกเส้นทาง
แค่ได้เอาของวิเศษมาถวายเทพผู้ยิ่งใหญ่ โลกิก็รู้สึกกาคภูมิใจเสียจนออกนอกหน้า เขาเที่ยวไปคุยอวดให้ใครต่อใครฟัง แต่คนที่ฟังแล้วรู้สึกหมั่นไส้มากที่สุดเห็นจะไม่มีใครเกินคนแคระช่างทองอีกสองคนคือ บรอคค์ (Brokk) และ ซินดรี(Sindri) ผู้ซึ่งเป็นคนแคระที่สามารถสร้างของวิเศษได้เก่งที่สุด ความหมั่นไส้พ่อหนุ่มหน้าใส ทำให้ในที่สุดเกิดการทะเลาะทุ่มเถียงกันไปใหญ่โต จนท้ายที่สุดโลกิถึงกับท้าคนแคระทั้งสองโดยเอาหัวเป็นประกัน ว่าทั้งสองไม่มีวันที่จะสร้างของวิเศษอื่นใดที่จะดีเกินกว่าของที่เขาสั่งให้คนแคระสองคนก่อนหน้าสร้างขึ้นถวายเทพธอร์
คนแคระทั้งสองรับคำท้า และเริ่มสร้างของวิเศษซึ่งในที่สุดโลกิก็เริ่มเห็นว่า เขาคงจะต้องเสียหัวเป็นแน่ โลกิลงทุนแปลงร่างเป็นเหลือบเข้ากัดต่อยและสร้างความทรมานให้แก่คนแคระทั้งคู่ เพื่อให้ทั้งบรอคค์และซินดรีละเลิกงานที่กำลังทำอยู่นั้นเสีย แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุดทั้งสองก็ฝ่าฟันความทุกข์ทรมานทั้งสิ้นทำของวิเศษขึ้นมาสองสิ่ง นั่นคือแหวนวิเศษที่ผู้สวมใส่จะมีสุขภาพดีตลอดชั่วกัลปาวสาน กับค้อนวิเศษให้องค์ธอร์ มันเป็นค้อนที่ชนะศัตรูไม่มีวันแพ้ (ค้อน มจอร์ลนีร์)
เหล่าเทพซึ่งได้รับเชิญมาให้เป็นผู้ตัดสิน มีความเห็นตรงกันว่าของวิเศษทั้งสองอย่างเป็นหนึ่งในปฐพี ไม่มีใครเทียมทานจริงๆ โลกินิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่คนแคระทั้งสองเอ่ยวาจาทวงหัวของเขาตามคำท้า โลกิตอบคนแคระว่า เขายอมให้หัวของเขาแต่โดยดีเว้นแต่ในสัญญานั้นเขาไม่ได้ยอมยกคอให้ด้วย ถ้าหากจะสับหัวเขาออกก็ต้องอย่าให้ถูกคอแม้แต่เพียงนิดเดียว
บรอคค์และซินดรีโดนเข้าอย่างนี้ถึงกับอ้าปากค้าง คาดไม่ถึงถึงความกะล่อนของคู่ต่อสู้ เรื่องชักจะดำเนินไปในทางที่ไม่ดีอีกแน่ แต่ในที่สุดคนแคระทั้งสองก็ยอมรับวิธีการเย็บปากโลกิเพื่อไม่ให้เขาใช้ไปเที่ยวหลอกลวงคนอื่นๆ ด้ายที่เย็บปากโลกิติดอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน เขาก็ดึงมันออกอย่างง่ายดาย แล้วโลกิก็เลือกทางที่จะไปจากสวรรค์แอสการ์ดเสีย โลกิต้องอยู่กับความอ้างว้างเดียวดายไร้เพื่อน แต่ระหว่างนั้นเอง เขาก็ได้ยินข่าวว่า เทพและเทวาทั้งหลายพากันจัดงานรื่นเริงขึ้นอย่างใหญ่โตโดยที่รายชื่อผู้ได้รับเชิญไม่มีเขาปะปนอยู่เลย เหตุนี้ทำให้โลกิโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
วันรื่นเริงมาถึง โลกิปรากฏกายขึ้นในงานอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาทำไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาเย็นชาของเทพทั้งหลายที่จ้องมอง เขารักษาสถานการณ์ช่วงนั้นได้อย่างสวยงาม ด้วยมนต์เสน่ห์ที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดทำให้เขาสายมารถคุยกับวงโน้นวงนี้ได้ไม่ยาก ไม่ช้าพวกเทพก็เริ่มลืมเลือนพฤติกรรมในอดีตของเขาเสียสนิท
และโลกิเริ่มแผลงฤทธิ์แก้แค้น ขณะที่เขาดื่มไปกินไปจากวงโน้นวงนี้บ้าง เขาเริ่มเอาพฤติกรรมที่น่าอายของเทพแต่ละองค์มาแฉกลางวงสนทนา เป็นพฤติกรรมที่เขาสืบรู้มาว่าเป็นเรื่องจริง โลกิเอ่ยสาปแช่งเป็นครั้งสุดท้ายให้เทพไท้ทั้งหลายรีบมีความสุขให้มากที่สุดเพราะเวลาของเทพทั้งหมดกำลังจะหมดลง บรรดาเทพพากันหัวเราะ คำสาปแช่งของเขาอย่างไม่สนใจ ต่อมาไม่นาน......โลกิอีกนั่นแหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีพายักษ์และเหล่าปิศาจมาบุกแดนสวรรค์เกิดเป็นสงครามล้างโลกครั้งใหญ่ สงครามนี้เรียกว่า แร็กนาร๊อค สงครามวันสิ้นโลก โลกิอยู่ฝ่ายยักษ์และสุดท้ายเขาก็ตายด้วยฝีมือเทพผู้เฝ้าดินแดนเทพแอสการ์ด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น